Posted on พฤศจิกายน 27, 2018
จะมีใครหยุดยั้งการป้องกันแชมป์ของเรือใบสีฟ้าได้หรือไม่?
จากประวัติศาสตร์ในลีกฟุตบอลระดับสูงสุดของ อังกฤษ มีเพียง 11 สโมสรเท่านั้นที่สามารถป้องกันแชมป์ของตนเองได้ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ คือหนึ่งในทีมที่เคยทำได้สำเร็จจากการคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ในปี 1929 ก่อนจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ได้ติดต่อกันในปี 1930 แอสตัน วิลล่า เคยครองความยิ่งใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องในช่วงกำลังจะย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 ฮัดเดอร์สฟิลด์ สามารถคว้าแชมป์ได้ 3 สมัยซ้อนหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เพียงไม่กี่ปี ในขณะที่ พอร์ทสมัธ และ วูล์ฟแฮมป์ตัน ก็เคยประกาศศักดาได้ระหว่างช่วงยุคสงครามเย็น จนกระทั่งหนสุดที่ท้ายเกิดขึ้นในปี 2009 เมื่อคราวที่ ราฟาเอล เบนิเตซ เกิดธาตุไฟแตกออกมากล่าวโจมตี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือบรรดาผู้ตัดสิน
การป้องกันแชมป์ลีกสูงสุดของแดนผู้ดีเคยเกิดขึ้นทั้งหมด 25 ครั้งตลอดระยะเวลา 130 ปีนับตั้งแต่ที่เริ่มจัดตั้งการแข่งขันขึ้นมาอย่างเป็นทางการ แมนฯ ยูไนเต็ด คือทีมที่สามารถป้องกันแชมป์ได้มากที่สุดโดย 6 จาก 7 ครั้งเกิดขึ้นในสมัยการปกครองของ ป๋าเฟอร์กี้ ในขณะที่ ลิเวอร์พูล เคยทำได้สำเร็จ 5 ครั้งซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงยุคปี 70 ถึง 80 แมนฯ ซิตี้ เคยคว้าแชมป์ลีกได้ทั้งหมด 5 ครั้งโดยแทบไม่มีโอกาสใกล้เคียงกับการป้องกันแชมป์ได้เลยซักหน หากแต่สัญญาณแห่งความสำเร็จที่รอคอยกำลังก่อตัวให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆภายในฤดูกาลปัจจุบัน จากการคว้าแชมป์ในฤดูกาลก่อนพร้อมสร้างสถิติเก็บแต้มไปทั้งหมด 100 คะแนนที่ดูเหมือนจะเป็นมาตรฐานที่ยากจะทำซ้ำ หากแต่ผลงานนับตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ทของพวกเขากลับบ่งชี้ว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กำลังอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับซีซั่นที่แล้ว
ด้วยสถานการณ์อันสวยหรูจากการกอบโกยไปแล้วถึง 32 แต้มจาก 12 นัดที่ผ่านมาไม่เพียงแต่จะทำให้ ซิตี้ รั้งอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง แต่ยังมีความหมายว่าหากพวกเขาสามารถรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้จนตลอดรอดฝั่งก็จะทำให้ทีมมีโอกาสได้ชูถ้วยรางวัลฉลองกันอีกครั้งหลังผ่านพ้น 38 เกม แน่นอนว่าการรักษามาตรฐานการเล่นในระดับนี้ไว้ให้ยาวนานอาจดูเป็นเรื่องยาก แต่เราก็ไม่ควรลืมว่าภายใน 12 เกมที่ผ่านมา ซิตี้ สามารถสยบคู่แข่งสำคัญอย่าง อาร์เซน่อล, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ แมนฯ ยูไนเต็ด มาแล้ว รวมถึงการบุกไปเสมอกับ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ แบบทิ้งโอกาสทองของตนเองในช่วงท้ายเกม โดยมีเพียง เชลซี เท่านั้นที่ยังคงรอคอยโอกาสจะเผชิญหน้ากัน ซึ่งทั้งคู่ก็มีโปรแกรมจะลงเตะกันเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในช่วงต้นเดือนธันวาคม
โดยในระหว่างนั้น สิงห์บลูส์ มีคิวจะต้องทำศึก ลอนดอน ดาร์บี้ กับ สเปอร์ส ที่ เวมบลีย์ ต่อด้วยต้อนรับการกลับมาเยือนถิ่นเก่าของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ที่พึ่งขยับเข้าไปคุม ฟูแล่ม ก่อนจะออกเดินทางไปเยือน วูล์ฟส์ ทีมน้องใหม่ที่เคยสร้างเซอร์ไพรส์ยันเสมอ ซิตี้ ได้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม เมาริซิโอ ซาร์รี่ ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการเปิดตัวใน พรีเมียร์ลีก ชนิดที่ยังไม่เคยมีกุนซือหน้าใหม่คนไหนทำได้ดีเท่าเขา แต่ในขณะเดียวกันทีมของอดีตเฮดโค้ช นาโปลี ก็กำลังตกอยู่ภายใต้สภาวะความกดดันจากการเป็นหนึ่งในทีมที่ยังไม่เคยพบกับความปราชัยภายในซีซั่นนี้
ลิเวอร์พูล ก็คืออีกหนึ่งทีมที่ยังไม่เคยพลาดท่าให้กับใครในลีกแม้พวกเขาจะเคยพ่ายแพ้ในการแข่งขันอื่นมาแล้วถึง 3 นัด ในขณะที่ สเปอร์ส ก็ยังคงเป็นทีมที่มองข้ามไปไม่ได้ หากแต่ผลงานของ เรือใบสีฟ้า ในเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ก่อนเบรคทีมชาติได้แสดงให้เห็นว่า คุณภาพของพวกเขากำลังทิ้งห่างทีมคู่แข่งอื่นๆออกไปทุกขณะ นี่ยังไม่นับรวมอีกว่าพวกเขากำลังอยู่ระหว่างการรอคอยให้ เควิน เดอ บรอยน์ กลับมาฟิตเต็มร้อยเพื่อช่วยสร้างสรรค์โอกาสงามๆหรือมีส่วนช่วยสกัดกั้นเกมรุกของฝั่งตรงข้าม แต่ถึงแม้ทีมจะปราศจาก สตาร์ชาวเบลเยี่ยม ไปก็ตาม กวาร์ดิโอล่า ก็ยังมีคลาสเพียงพอที่จะหยิบจับ แบร์นาโด้ ซิลวา, ริยาด มาห์เรซ, อิลคาย กุนโดกัน, ฟิล โฟเด้น และ ดาบิด ซิลบา ลงไปช่วยกันครองเกมกลางสนามให้เหนือกว่าคู่แข่ง
หากจะมีจุดบอดเพียงเรื่องเดียวที่กลายมาเป็นเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับขุมกำลังต่างๆที่มีอยู่ในมือของ ยอดกุนซือชาวสเปน ก็คือปัญหาพัวพันเกี่ยวกับเรื่องงบดุลทางบัญชีที่ไม่โปร่งใสและอาจขัดต่อกฎของทาง ยูฟ่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงการตีความว่า รางวัลเกียรติยศหลายรายการที่ผ่านมาของพวกเขาล้วนได้มาจากการสนับสนุนงบที่ไม่ถูกต้อง มันอาจเป็นการกล่าวโจมตีที่ดูเป็นผู้ดีที่สุดจากบรรดาทีมคู่แข่งของ แมนฯ ซิตี้ ว่าพวกเขาคว้าแชมป์ต่างๆมาด้วยวิธีการคดโกง Football Leaks เว็บไซต์นิรนามรายหนึ่ง เคยลงตีแผ่ข้อมูลสำคัญที่สร้างความแคลงใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องจากกิจกรรมต่างๆและการทำงานนอกสนามที่ทำให้ทีมของ กวาร์ดิโอล่า อยู่เหนือใครๆในขณะนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจเร็วไปที่จะด่วนสรุปว่าพวกเขาคว้าความสำเร็จที่ผ่านมาด้วยวิธีการซิกแซก ซิตี้ เคยถูกทาง ยูฟ่า ตรวจสอบมาแล้วในปี 2014 ก่อนที่ กวาร์ดิโอล่า จะเข้ามาด้วยซ้ำ ซึ่งทุกอย่างก็ถูกต้องตามข้อกำหนด แม้จากจุดเริ่มต้นของ กฎไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ ที่ดูจะมีช่องโหว่กว่าที่คาดคิดเอาไว้และถูกคาดหมายกันในวงกว้างว่า มันถูกสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งความทะยานอยากของพวกสโมสรเงินถุงเงินถังที่ตั้งใจจะเจียดงบส่วนตัวเข้ามาเสริมสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตนเอง ในขณะที่ เรือใบเสือฟ้า ยังคงไม่รีบร้อนบอกปัดข้อกล่าวหาล่าสุดที่พึ่งมีมูลบางส่วนผุดขึ้นมา ซึ่งก็เป็นปฏิกิริยาในทำนองเดียวกับทางฝั่ง ยูฟ่า ที่เคยเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ โดยยังไม่มีท่าทีเร่งรีบที่จะรื้อเคสนี้กลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง
แม้ที่ผ่านมาพวกเขาจะทุ่มงบประมาณมากมายเกินกว่าปกติที่ดูเป็นการเปิดช่องให้ตนเองถูกตั้งข้อสงสัย แต่ประเด็นหลักเกี่ยวกับข้อกล่าวหายังมีอะไรที่มากไปกว่านั้น และมันคงเป็นการโลกสวยจนเกินไปหากจะจินตนาการว่าสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปรายอื่นๆจะลอยตัวจากปัญหาเหล่านี้ ในอดีตที่ผ่านมา ซิตี้ เคยวางนโยบายด้วยการใช้อำนาจเงินตราเข้าเผชิญหน้ากับข้อกำหนดที่ถูกเรียบเรียงจากทาง ยูฟ่า แทนที่จะใช้แนวทางด้านกฎหมาย ซึ่งหลายๆฝ่ายมองว่าเป็นการวางหมากที่ผิดพลาด แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำในสิ่งที่แตกต่างจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ด้วยการยอมหันหน้าปรึกษาหารือกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้
ย้อนกลับมาที่ประเด็นของการป้องกันแชมป์ เปแอสเช คือทีมที่คว้าแชมป์ ลีกเอิง ได้ถึง 5 สมัยในรอบ 6 ปีให้หลัง และล่าสุดก็ยังนำโด่งเป็นจ่าฝูงโดยทิ้งห่างทีมรองอยู่ถึง 13 คะแนนจากการชนะรวดทั้ง 13 เกมที่ผ่านมา แม้จะดูเป็นสถิติที่น่าประทับใจแต่พวกเขาก็ทำได้แค่รั้งอันดับที่ 3 ของรอบแบ่งกลุ่มใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังเก็บผลเสมอ 2 นัดกับ นาโปลี และตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้กับ ลิเวอร์พูล ส่วนทางด้าน แมนฯ ซิตี้ ที่แม้จะได้อยู่ในกลุ่มที่สบายกว่าและควรจะการันตีพื้นที่ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่จากการที่ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ไล่ตามตีเสมอ โอลิมปิก ลียง ได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก็ทำให้ กวาร์ดิโอล่า ยังไม่สามารถไว้วางใจและหันไปทุ่มเทกับผลงานในลีกได้อย่าง 100% เต็มในขณะนี้
ซิตี้ จะผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ในทันทีหากมีแต้มติดมือกลับมาจากทริปออกไปเยือน ฝรั่งเศส ในช่วงกลางสัปดาห์หน้า ซึ่งจะทำให้พวกเขาหันมาใส่เกียร์เดินหน้าใน พรีเมียร์ลีก ได้อย่างไม่ต้องพะว้าพะวัง ในขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าง ลิเวอร์พูล ยังคงต้องลุ้นหนักในการเผชิญหน้ากับ เปแอสเช และ นาโปลี นอกจากนี้ หงส์แดง ยังมีโปรแกรม เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ รออยู่หลังหลังเกมยุโรปที่ต้องออกไปเยือนที่ ปารีส ก่อนจะถัดไปอีก 2 สัปดาห์ด้วยการเปิดรัง แอนฟิลด์ ต้อนรับ นาโปลี และต่อเนื่องด้วย ศึกแดงเดือด กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นโปรแกรมหนักที่น่าจะสร้างความกังวลใจให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก่อนที่เขาจะต้องพาลูกทีมออกไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม ในช่วงหลังวันปีใหม่
นอกเหนือการออกไปเยือน เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทางฝั่งทีมของ กวาร์ดิโอล่า ดูจะมีโปรแกรมที่ปลอดโปร่งโล่งสบายกว่าไปจนถึงช่วงปลายปี 2018 แม้มันอาจเป็นเพียงการคาดคะแนจากสิ่งที่ปรากฏ แต่อย่างที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ได้กล่าวไว้หลังความพ่ายแพ้ต่อทีมคู่ปรับร่วมเมืองว่า ซิตี้ ลงสนามในเกมนั้นหลังพึ่งกดฝั่งตรงข้ามมา 12 ตุงจาก 2 นัดก่อนหน้านี้ ซึ่งก็เป็นชัยชนะที่ง่ายดายเหนือ เซาแธมป์ตัน และ ชัคตาร์ โดเนตส์ค เรือใบสีฟ้า ดูจะไร้ปัญหาในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่มีศักยภาพต่างชั้นกันอย่างเห็นได้ชัด และถึงแม้ใน พรีเมียร์ลีก จะยังคงมีหลายสโมสรที่สามารถลงฟาดแข้งกับพวกเขาได้ในระดับที่พอจะท้าทายกันได้ แต่ประเด็นสำคัญไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาสามารถเอาชนะคู่แข่งเหล่านั้นจนรั้งอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงได้ในขณะนี้ เพราะสุดท้ายแล้วการรักษามาตรฐานของตนเองให้คงเส้นคงวาได้ตลอดคือสิ่งที่สำคัญกว่า
หลังจากความพยายามมายาวนานกว่าศตวรรษ ถึงตอนนี้ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แมนฯ ซิตี้ กำลังอยู่บนเส้นทางที่สาดส่องไปด้วยแสงสปอตไลท์อันมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การป้องกันแชมป์